ประกาศรับสมัคร
พนักงานขาย TELESALE 2 ตำแหน่ง

Y.P.D INTERGROUP CO.,LTD
ประกาศรับสมัคร
พนักงานขาย TELESALE 2 ตำแหน่ง
เงินเดือน 17,000 +ค่าคอม (20,000บาท )
ค่าคอม ,ประกันสังคม ,เที่ยวประจำปี, โบนัส 2 รอบ,ชุดยูนิฟอร์ม
คุณสมบัติ
-อายุ22-40 ปี เพศหญิง
-วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี
-ทำคอมพื้นฐานได้
หน้าที่
-ขายของผ่านทางออนไลน์
-คุยโทรศัพท์ให้ข้อมูลลูกค้า,สาธิตเครื่องให้ลูกค้า
-ทำใบเสนอราคาด้วย Excel , word ใช้คอมได้
-สาธิตสินค้าให้ลูกค้า
-มีประสบการณ์ขาย เป็นเซลล์มาก่อนพิจารณาพิเศษ

ทำงาน ถนนบางบอน 2 ใกล้แม็คโครกาญจนภิเษก
นัดสัมภาษณ์แจ้งผลทันที่
ติดต่อฝ่ายบุคคล 083-415-1815

รับสมัครงาน #หาพนักงาน #สมัครงาน #หาsales #หาเซลล์ #หาพนักงานขาย #พนักงานขาย

หางาน #หางานประจำ #หางานบางบอน #หางานเอกชัย #หางานฝ่ายขาย

ราคาเหล็กวันนี้ ราคาเหล็กเส้นกลม ราคาเหล็กข้ออ้อย

ราคาเหล็กวันนี้/กิโลกรัม
19.90 / กก.

เหล็กเส้น 2 หุนราคา
เหล็กเส้น 3 หุน
เหล็กเส้น 2 หุน

ทำความรู้จัก เหล็กเส้น

  • เหล็กเส้น คือ เหล็กที่มีลักษณะเป็นเส้นตรง มีลักษณะกลม  มีความแข็งแรงต่อแรงอัด แรงดึงได้ดี โดยทั่วไปเหล็กเส้นมีตั้งแต่ เหล็ก 6 มิล เหล็ก 9 มิล และราคาเหล็กก็จะแตกต่างกันไป
  • เหล็กเส้นจัดอยู่ในกลุ่มของประเภทเหล็กที่เรียกว่าเหล็กเสริม โดยคำว่าเหล็กเสริมถ้าแปลตามตัวก็คือเหล็กเส้นก่อสร้างที่ทำหน้าที่เสริมความแข็งแรงให้กับคอนกรีต โดยเหล็กเส้นจะถูกเสริมไว้ในเนื้อคอนกรีต เพื่อช่วยให้คอนกรีตเกิดความคงทนต่อแรงดึงและแรงอัด

เหล็กเส้นก่อสร้าง แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

โดยทั้งเหล็กเส้นทั้ง 2 ประเภท สามารถเช็คราคาเหล็ก กับเราได้ทุกวันเพื่อความคุ้มค่าต่อการเลือกซื้อเหล็กเส้นให้ได้ราคาที่ดีที่สุด

เหล็กเส้นก่อสร้าง
เหล็กเส้นข้ออ้อยราคา

เหล็กเส้นกลมคุณภาพ

เหล็กเส้นกลม คือ เหล็กเสริมคอนกรีต ที่ใช้ในงานก่อสร้าง เหมาะกับงานที่ไม่ต้องรับแรงมากหนัก โดยเหล็กเส้นกลม ส่วนใหญ่เราจะได้ยินกันในชื่อ เหล็ก RB (Roung Bar)  เช่น RB6 RB9 หรือที่รู้จักกันในนาม เหล็กเส้นกลม 2 หุน เหล็กเส้นกลม 3 หุน

โดยมอก.ของเหล็กเส้นกลม 20-2559 ชั้นคุณภาพ มีเพียงชั้นเดียว คือ SR24  โดยเหล็กเส้นที่ watsaduonline นำมาจำหน่ายเป็นเหล็กเส้นกลมคุณภาพ ราคาพิเศษสำหรับผู้รับเหมาโดยเฉพาะ


ลักษณะเหล็กเส้นกลม

เหล็กเส้นกลม

             โดยปกติแล้วจะมีลักษณะตามชื่อของเหล็กเลยเพราะเป็นเส้นกลมยาว สีดำตลอดทั้งเส้น ผิวเนื้อสัมผัสเรียบเกลี้ยง เนื้อเหล็กเส้นจะต้องไม่แตกร้าว ไม่มีรอยปริ ไม่เป็นสนิม และจะต้องมีภาคตัดขวางกลมสม่ำเสมอกันทั้งเส้นไม่มีคลื่น

             มีการแสดงสัญลักษณ์ที่ตัวเหล็กไว้อย่างชัดเจน ว่าเหล็กเส้นผลิตที่โรงงานไหน ขนาดของเหล็กเส้นเท่าไหร่ ชั้นคุณภาพของเหล็กไว้อย่างชัดเจน โดยเหล็กเส้นกลมมีชั้นคุณภาพเดียวคือ SR24

ตารางเหล็กเส้นกลม

เหล็กเส้นข้ออ้อยคุณภาพ

เหล็กเส้นข้ออ้อย คือ เหล็กเส้นที่มีลักษณะเป็นเกลียวคลื่น มีครีบยาวตลอดทั้งเส้น เหล็กเส้นข้ออ้อย เราอาจจะได้ยินในชื่อ เหล็ก DB ซึ่งย่อมาจาก  เหล็กเส้นประเภทนี้นิยมนำมาใช้ในงานก่อสร้างเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับเนื้อคอนกรีต

ลักษณะทั่วไปของเหล็กเส้นข้ออ้อย

เหล็กต้องมีผิวเรียบเกลี้ยง มีบั้งตลอดทั้งทั้งเส้น เหล็กเส้นข้ออ้อยจะต้องไม่ปริ ไม่มีรอยแตกแยก แตกร้าว เหล็กเส้นข้ออ้อยจะต้องมีบั้งที่มีระยะที่สม่ำเสมอกันตลอดทั้งเส้น เหล็กมีสีดำตลอดเส้น และเหล็กจะต้องไม่เป็นสนิม มุมของบั้งกับแกน ในส่วนของมุมแหลมเหล็กจะต้องไม่น้อยกว่า 45 องศา

ชั้นคุณภาพของเหล็กเส้นข้ออ้อย

              ในส่วนของชั้นคุณภาพของเหล็กเส้นข้ออ้อย สามารถแบ่งออกเป็นได้เป็น 3 ชั้นคุณภาพ แต่ในปัจจุบันจะใช้ชั้นคุณภาพ SD 40 และ SD 50

  • ชั้นคุณภาพ SD30
  • ชั้นคุณภาพ SD40
  • ชั้นคุณภาพ SD50

การเลือกซื้อเหล็กเส้น

การเลือกซื้อเหล็กเส้นที่มีคุณภาพ

  • ดูมาตรฐานมอก ของเหล็กเส้น
  • ดูโรงงานผลิต เหล็กเต็ม
  • เลือกจากร้านค้าขายเหล็กเส้นที่มีความน่าเชื่อถือ
  • เลือกเหล็กเส้นให้เหมาะกับการใช้งาน

ลักษณะของเหล็กเส้นที่ดี

  • เหล็กเส้นกลม ต้องมีผิวกลมเกลี้ยงยาวตลอดทั้งเส้น เหล็กไม่เป็นสนิม
  • เหล็กเส้นข้ออ้อย ซึ่งมีลักษณะเป็นคีบๆ ต้องมีปล้องในระยะที่เท่ากันสม่ำเสมอตลอดทั้งเส้น และไม่เป็นสนิม

สนใจเหล็กเส้น 2 หุน เหล็กเส้น 3 หุน หรือ เหล็กเส้นข้ออ้อย 4 หุน

ขอบคุณข้อมูลจาก https://watsaduonline.com/steel_daliy/

ราคาเหล็กลวด (wire rod) ในเอเชียเพิ่มขึ้นและแกร่งขึ้นท่ามกลางระดับข้อเสนอขายที่สูงขึ้น

ราคาเหล็กลวด (wire rod) นเอเชียเพิ่มขึ้นและแกร่งขึ้นท่ามกลางระดับข้อเสนอขายที่สูงขึ้น

ในสัปดาห์นี้เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ราคาเหล็กลวดในเอเชียปรับตัวสูงขึ้น หลังจากระดับข้อเสนอขายที่เพิ่มขึ้น $10/ตัน โดยผู้ซื้อได้กลับไปหาซื้อสินค้า และระดับราคาที่ซื้อขายกันก็ปรับเพิ่มขึ้น

เมื่อวันที่ 23 พ.ย. Platts ประเมินราคาเหล็กลวด SAE1008 (mesh-quality) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ขนาด 6.5 มม. มีราคาที่ $555/ตัน FOB ประเทศจีน ราคาเพิ่มขึ้น $10/ตัน เทียบจากสัปดาห์ก่อนหน้า

A labourer works on coils of steel wire at a steel wholesale market in Beijing January 17, 2012. REUTERS/Soo Hoo Zheyang/File Photo

โรงงานรายใหญ่ของจีนเสนอขายราคาเหล็กลวด สำหรับการขนส่งในเดือนกุมภาพันธ์ มีราคาที่ $570//ตัน FOB ประเทศจีน เพิ่มขึ้น 10 ดอลลาร์/ตัน จากสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่เทรดเดอร์รายงานว่ามีการเสนอขายเหล็กลวดที่ราคา $560/ตัน FOB ประเทศจีน ด้านแหล่งข่าวของโรงงานได้รายงานว่า ขายสินค้าได้ที่ราคา $570/ตัน สำหรับการจัดส่งในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับปลายทางหรือปริมาณ

“ในแง่ของสภาพคล่อง ความต้องการส่วนใหญ่มาจากยุโรป” ผู้ค้ารายหนึ่งในจีนกล่าว

“ตอนนี้ราคาค่อนข้างทรงตัว ราคากลับมาดีขึ้นหลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์” เทรดเดอร์รายหนึ่งในฟิลิปปินส์กล่าว พร้อมเสริมว่า “ซัพพลายเออร์บางรายคาดหวังว่าราคาในตลาดจะดีขึ้น”

ในตลาดภายในประเทศของจีน ราคายังคงทรงตัวเนื่องจาก “อุปทานตึงตัวในระยะสั้น ขณะที่อุปสงค์ยังคงอ่อนแอเล็กน้อย” แหล่งข่าวจากผู้ค้ากล่าว

Platts ประเมินราคาในตลาดค้าปลีกของเซี่ยงไฮ้ สำหรับเหล็กลวด Q195 ขนาด 6.5 มม. ที่ 4,020 หยวน/ตัน ($562/ตัน) ex-stock ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 13% ราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากในสัปดาห์ก่อน

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเหล็กเส้น (rebar) ของจีนอ่อนตัวลง โดยวันที่ 23 พฤศจิกายน สัญญาเหล็กเส้นที่มีการซื้อขายมากที่สุดในเดือนมกราคม 2023 ในตลาด Shanghai Futures Exchange ปิดที่ 3,691 หยวน/ตัน ($516/ตัน) ราคาลดลง 14 หยวน/ตัน ($2/ตัน) จากวันก่อน และลดลง 51 หยวน/ตัน ($7/ตัน) จากสัปดาห์ก่อนหน้า
แหล่งที่มา : S&P Global Commodity Insights

เครื่องดัดปลอกอัตโนมัติ รุ่น SM-80AB เครื่องดัดปลอกทำปลอกอัตโนมัติด้วยความเร็ว สามารถดัดเหล็ก-ตัดเหล็กด้วยการออกแบบเครื่องที่เฉพาะตัวทำให้เครื่องสามารถทำงานได้แม่นยำและรวดเร็วดัดเหล็กปลอกโดยไม่ต้องใช้คนมาทำงานเครื่อง

เครื่องดัดเหล็กปลอกเสาอัตโนมัติ เป็นที่สามารถดัดเหล็กปลอกอัตโนมัติได้อย่างรวดเร็ว และมาตราฐานเป็นการดัดปลอกสำเร็จรูป เหล็กเสาเอ็นทับสำเร็จรูป เหล็กปลอกคานสำเร็จรูป เหล็กปลอกสำเร็จรูป ดัดเหล็กปลอกเสา ปลอกคานได้อย่างสบาย โดยใช้กับลวดไวร์รอต

ทำงานอัตโนมัติด้วยความเร็ว สามารถดัดเหล็ก-ตัดเหล็กกว่างยาวได้ถึง 10-90มิล ด้วยการออกแบบเครื่องที่เฉพาะตัวทำให้เครื่องสามารถทำงานได้แม่นยำและรวดเร็ว รุ่นนี้สามารถดัดได้ทั้งแบบวงกลม แบบเหลี่ยม แบบตัวเจ แบบเส้นตรง แบบสามเหลี่ยม แบบยู แบบฉาก งานถูกออกแบบให้สามารถใช้ได้หลายรูปแบบของชิ้นง่าย เครื่องสามาถดัดเหล็กเป้นทางวงกลม ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงสี่เหลี่ยมจัตุจัต ทรงสามเหลี่ยม

ข้อดี
1.ชิ้นงานสวย มีมาตราฐานเท่ากันทุกตัว
2.หัวชิดกว่าเดิม
3.ประหยัดแรงงานคน เครื่องสามารถทำงานอัตโนมัติได้
4.สามารถไปประยุกต์ใช้กับงานอื่นได้ เนื่องจากเครื่องสามารถทำลายได้หลากกลายรูปทรง

ชื่อรุ่นSM-80AB
ความสามารถในการดัด-ตัดเหล็กปลอก5-10มิล
กำลังในการผลิต100*100 ซม. 8ตัวต่อนาที
มอเตอร์5.5 แรง
ความเร็วในการดัด-ตัด2-3 วินาที เร็วกว่ารุ่นSM-80A (40%)
ใช้ไฟ220 โวลต์ / 380 โวลต์
ขนาดกว้าง 60 ซม * สูง 80 ซม* ยาว 100 ซม
น้ำหนัก370 โล
ถังน้ำมันจุ60 ลิตร * ชุดวาวล์ควบคุมของCROSS

ชุดลูกรีดให้เหล็ก sCM 440 ชุปไฟฟ้าทั้งหมด
ใบตัดเหล็ก SKD 11 ชุบแข็งไฟฟ้า
กำลังในการผลิต 100*100 มม. 8  ตัว / นาที
พร้อมคอยส์ริงลวด

ขอบคุณข้อมูลจาก https://thanasarn.co.th/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%94-wire-rod-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2/

คิดก่อน ทำก่อน วิเคราะห์แนวโน้มอสังหาฯ ปี 2566 ยังน่าซื้อน่าลงทุนหรือไม่

วิเคราะห์อสังหาฯ ปี 2566 ปัจจัยบวกยังเยอะ น่าซื้อน่าลงทุนหรือไม่ ?

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 เป็นปีที่มีความน่าสนใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว บ้านคู่ ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียมเป็นอย่างมาก จากปัจจัยบวกต่าง ๆ ที่เข้ามากระตุ้น รวมถึงการฟื้นตัวจากช่วงโรคระบาดที่หลายคนพร้อมที่จะเลือกชอปอสังหาริมทรัพย์กันแล้ว แต่ในขณะเดียวกันตลาดอสังหาฯ ในปี 2566 นี้ก็มีความท้าทายหลายข้อที่อาจจะส่งผลให้เกิดการชะลอตัวในการซื้อทรัพย์สินชิ้นใหญ่ได้เช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ที่กำลังสนใจเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการอยู่อาศัยเอง หรือเพื่อการลงทุน การซื้ออสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 มีปัจจัยหลายเรื่องที่ควรติดตามและประเมิน เพราะมีทั้งโอกาสและข้อจำกัดที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อ บทความนี้เราได้รวบรวมทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 นี้มาวิเคราะห์ให้คุณได้อ่านเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา

เราไปเริ่มต้นกันที่ปัจจัยเชิงบวกกันก่อนเลย

ปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อตลาดอสังหา ปี 66ภาพประกอบจาก โครงการ มัณฑนา Westgate

ปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ ปี 2566   

ในปี 2566 เป็นปีที่มีปัจจัยเชิงบวกที่กระตุ้นให้เกิดการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์หลายข้อ ทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีการพัฒนาอย่างรุดหน้า ปัจจัยจากนโยบายภาครัฐ ไปจนถึงความต้องการของลูกค้าที่มีมากยิ่งขึ้นหลังจากการฟื้นตัวจากช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทั้งนี้เราได้สรุปปัจจัยบวกที่มีต่ออสังหาฯ ในปี 2566 ออกมาเป็น 4 ข้อด้วยกัน
 
รถไฟฟ้าปัจจัยส่งเสริมอสังหา

1. การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายต่างๆ

ในปี 2566 จะเป็นปีที่มีการเปิดการเดินรถไฟฟ้ามากถึง 3 สาย และเป็นรถไฟฟ้าสายสำคัญที่วิ่งผ่านทำเลทองหลาย ๆ จุดของกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยทั้ง 3 สายจะช่วยเพิ่มความสะดวกให้ประชาชนสามารถเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น และยังเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายเดิม ทำให้การเดินทางในเขตกรุงเทพฯ เป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าจะกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์รอบโครงการรถไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี

รถไฟฟ้าสายสีเหลือง : เตรียมเปิดให้บริการในช่วงไตรมาสที่หนึ่งของปี 2566 หลังจากในปี 2565 ได้มีการทดลองวิ่งไปแล้ว รถไฟฟ้าสายสีเหลืองเป็นหนึ่งสายที่หลายคนเฝ้าคอยเพราะให้บริการตั้งแต่บริเวณต้นถนนลาดพร้าวไปถึงสำโรงซึ่งเป็นจุดที่มีผู้อยู่อาศัยค่อนข้างมากและเป็นรถไฟฟ้าสายแรกที่ให้บริการในฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ

รถไฟฟ้าสายสีชมพู : เตรียมเปิดให้บริการในปี 2566 เช่นเดียวกัน โดยให้บริการวิ่งช่วงแคราย – มีนบุรี

รถไฟฟ้าสายสีส้ม : เป็นสายรถไฟฟ้าที่มีการก่อสร้างเร็วกว่ากำหนดและคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2566 นี้ สายสีส้มจะให้บริการวิ่งในช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ผ่านจุดเชื่อมต่อกับ MRT และออกไปยังโซนมีนบุรี ซึ่งจะช่วยให้คนที่อยู่อาศัยด้านฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เดินทางเข้าตัวเมืองได้สะดวกยิ่งขึ้น

สำหรับความก้าวหน้าการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้ง 3 สายนี้ว่ามีความคืบหน้ามากกว่า 95% แล้ว”* ถือเป็นสัญญาณที่ดีให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและกระตุ้นความต้องการโครงการอสังหาริมทรัพย์บริเวณที่รถไฟฟ้าตัดผ่านได้เป็นอย่างมาก

*อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์การรถไฟขนส่งมวลชน

ชาวต่างชาติสนใจอสังหาในไทย

2. นโยบายชาวต่างชาติซื้อบ้านได้

หนึ่งในข่าวใหญ่ช่วงที่ผ่านมาก็คือการที่ ครม. เห็นชอบให้ชาวต่างชาติสามารถที่จะซื้อบ้านในประเทศไทยได้ โดยมีเงื่อนไขว่าชาวต่างชาติที่จะเข้ามาซื้อบ้านในไทยนั้นจะต้องลงทุนในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท และเป็นเจ้าของได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยที่ชาวต่างชาติจะต้องซื้อเพื่อเป็นการอยู่อาศัยเองเท่านั้น ถ้าหากว่านำไปใช้ในเหตุอื่นมีสิทธิที่จะถูกบังคับเพื่อขายคืนได้ ด้วยเงื่อนไขนี้จะกระตุ้นความต้องการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยได้เป็นอย่างมาก

นอกจากจะเป็นการกระตุ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ทางตรงแล้ว ยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงและมีทรัพย์สินสามารถที่จะซื้อบ้านในไทยได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในบางทำเลจะมีความคึกคักมากขึ้นเป็นพิเศษ และยังจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการลงทุนและการจ้างงานในประเทศกลับมาที่ภาคอสังหาฯ ในอนาคตได้

3. เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว

อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทางบวกก็คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ จากนโยบายในการเปิดเมือง และเปิดให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้ มีการคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยประมาณ 20 ล้านคน มากกว่าปี 2565 เกือบ 1 เท่าตัว ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจในประเทศและการจ้างงานในประเทศได้เป็นอย่างดี เพราะภาคท่องเที่ยวถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยที่ยังส่งผลดีไปยังภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ อีกด้วย ทำให้เป็นการเพิ่มกำลังซื้อในสินทรัพย์ชิ้นใหญ่ได้

4. นโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่สูงมากนัก

ธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกมีนโยบายในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อและเพื่อรักษาไม่ให้ค่าเงินของประเทศตนเองอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐมากจนเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะมีผลในเชิงลบต่อตลาดอสังหาฯ เพราะลดทอนกำลังซื้อของผู้ซื้อและนักลงทุน (เนื่องจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนในการกู้ซื้อบ้านสูงมากยิ่งขึ้น)

แต่สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย มีนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับในหลายประเทศเนื่องด้วยบริบทของไทยที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ทำให้แบงค์ชาติของไทยมีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยต่ำกว่าหลายประเทศ ดังนั้นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยจึงไม่น่าจะโดนผลกระทบที่รุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับตลาดอสังหาฯ ในต่างประเทศ จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีของผู้ซื้อบ้านคนไทย

ปัจจัยลบที่ส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ ปี 2566

นอกจากปัจจัยบวกแล้ว ยังมีปัจจัยบางข้อที่อาจจะส่งผลทางลบต่อภาคอสังหาฯในปี 2566 นี้ได้คือ

1. ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก

ด้วยภาวะเงินเฟ้อรุนแรงไปทั่วโลก ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อหยุดเงินเฟ้อ ทำให้หลายสำนักทางเศรษฐกิจออกมาคาดการณ์ตรงกันว่าเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐอเมริกาในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะถดถอย (Recession) ค่อนข้างสูง และแน่นอนว่าถ้าเกิดภาวะถดถอยขึ้นมาจริง ๆ ย่อมสะเทือนและกระทบมาถึงประเทศในเอเชียด้วยแน่นอน ปัจจัยข้อนี้จึงอาจจะส่งผลให้ผู้ซื้อบางท่านเกิดความกังวลและชะลอการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินขนาดใหญ่ไปก่อนได้

2. เงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้น

ถึงแม้ว่านโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยเร็วและรุนแรง ทำให้ส่งผลกระทบต่อกำลังการซื้อของประชาชนในวงจำกัด ดังที่ได้กล่าวไปในหัวข้อก่อนหน้านี้แล้ว แต่ถ้าสถานการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกายังอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานและปัญหาดังกล่าวลากยาวไปถึงปีหน้า สิ่งนี้จะกดดันให้ FED ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นไปอีก และค้างอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งจะบีบให้แบงค์ชาติของประเทศอื่นๆ (รวมถึงไทย) อาจจะมีความจำเป็นที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยตามเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินเอาไว้ ในสถานการณ์แบบนี้ดอกเบี้ยที่สูงน่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้ซื้ออสังหาฯ ในปีหน้าได้

3. การแพร่ระบาดของเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ๆ

ถึงแม้ว่าการแพร่ระบาดของ Covid-19 จะยังไม่จบลง แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็มีความผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อย ๆ หลาย ๆ คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติ มีการเปิดประเทศและยกเลิกนโยบายเว้นระยะห่างเกือบทั้งหมดแล้ว แต่ความเสี่ยงของการแพร่ระบาดสายพันธุ์ใหม่ ๆ อาจจะกลับมาได้เสมอ ซึ่งหากมีโรคระบาดในสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นก็อาจจะกลายเป็นปัจจัยเชิงลบที่ฉุดรั้งต่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอนาคตได้เช่นกัน

เเนวโน้มอสังหาปี 2566ภาพประกอบจากโครงการบ้าน Villaggio 

สรุปแนวโน้มของตลาดอสังหาฯ ในปี 2566

จากปัจจัยเชิงบวกและปัจจัยเชิงลบทั้งหมดนี้ ทำให้ปี 2566 อาจจะเป็นอีกหนึ่งปีที่มีความท้าทายต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยทั้งตลาด บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม แต่ก็มีโอกาสที่น่าสนใจสำหรับผู้อยู่อาศัยและนักลงทุนที่กำลังเพ่งเล็งที่จะซื้อบ้านในปีหน้า 

ในระยะยาวราคาที่ดิน ราคาอสังหาริมทรัพย์ ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว แต่ถ้าเลือกซื้อบ้านโครงการคุณภาพในทำเลที่ดี ก็แทบไม่มีโอกาสที่จะขาดทุนในระยะยาวเช่นกัน อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่หลาย ๆ คนติดตามก็คือการเปิดประเทศของจีนที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.lh.co.th/th/lh-living-concept/tips/real-estate-2023-good-to-investing-or-not

การเขียนแบบก่อสร้างบ้านและระบบไฟฟ้าเบื้องต้น

การเขียนแบบบ้านพื้นฐาน การออกแบบบ้าน และระบบเขียนแบบ M&E เป็นสิ่งสำคัญในการก่อสร้างบ้านที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน ก่อนเริ่มโครงการก่อสร้างบ้าน การเข้าใจวิธีการสร้างบ้าน การออกแบบตัวบ้าน และงานด้านวิศวกรรมขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องนั้นสำคัญกว่าที่หลายคนคิดมาก

แน่นอนอยู่แล้วว่า การเขียนแบบบ้านนั้นต้องอาศัยบริษัทรับสร้างบ้านและออกแบบตกแต่งมืออาชีพควรเลือกบริษัทหรือผู้ออกแบบที่แสดงราคาออกแบบรวมทั้งก่อสร้างอย่างเปิดเผยและอย่าลืมที่จะสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ สำหรับการพิจารณาเลือกบริษัทเขียนแบบ

ในบทความนี้ เราจะขอแนะนำขั้นตอนรายละเอียดในการเขียนแบบบ้านและระบบ M&E พร้อมตัวอย่างภาพ drawing ในแบบต่าง ๆ

วางแผนการใช้พื้นที่

เริ่มต้นวางแผนการใช้พื้นที่โดยการวัดขนาดที่ดินและพิจารณาความต้องการของคุณ เริ่มที่การเขียนแผนผังบ้านและจัดสรรพื้นที่ต่าง ๆ ในบ้าน เช่น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น โรงรถ และอื่น ๆ เพื่อปูทางสำหรับขั้นตอนต่อไป

ออกแบบบ้าน

เมื่อคุณได้แผนผังบ้านแล้ว คุณสามารถเลือกสไตล์ของบ้านที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็น บ้านแบบโมเดิร์น บ้านหน้ากว้าง หรือบ้านทรงไทย เป็นต้น จากนั้นก็นำไอเดียเหล่านี้มาปรับใช้กับแผนผังพื้นที่ แต่อย่าลืมที่จะนึกถึงสภาพแวดล้อมจริงในบริเวณบ้านว่าเหมาะกับการก่อสร้างและการออกแบบประมาณไหน

Bcfgnd
Nghhnvdbeb
Bdd

แบบพื้นฐานและแบบ 3D

เมื่อได้แนวคิดและไอเดียแล้ว ให้วาดภาพแบบบ้านโดยคร่าวและวิเคราะห์รายละเอียดที่จำเป็น เช่น ผังห้อง ความสูงของเพดาน ตำแหน่งประตูและหน้าต่าง การตกแต่ง หรือทิศทางฮวงจุ้ยที่เป็นมงคลในส่วนต่าง ๆ ของบ้าน เขียนแบบและขนาดการใช้งานของบริเวณในบ้านเพื่อช่วยให้ผู้รับเหมาหรือดีไซน์เนอร์เห็นภาพงานโดยประมาณ

Fffff
Vsvva
Weff
Vdvsava

ระบบ M&E

M&E จะเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ประปา เครื่องปรับอากาศ การเชื่อมสายอินเตอร์เน็ตและสายโทรศัพท์ต่าง ๆ ควรวางแผนการเขียนแบบระบบไฟฟ้าอย่างรอบคอบและพิจารณาความปลอดภัยในการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า 

ตรวจสอบข้อกำหนด

ก่อนสร้างบ้านจริง ควรตรวจสอบข้อกำหนดในเรื่องของการก่อตั้งอาคารและการติดตั้งระบบ M&E ต่าง ๆ เช่น การขอ building fit-out guide จากสำนักงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณไม่มั่นใจที่จะเขียนแบบบ้านหรือการเขียนระบบ M&E ด้วยตัวเอง คุณควรที่จะขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น สถาปนิก วิศวกรโครงการ หรือผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ทางด้านงานวิศวกรรมไฟฟ้า

หรือสามารถขอแบบหรือ drawing สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ตามราคาที่แสดงในใบเสนอราคาจากผู้รับเหมา

Upmedio 2d House Electrical Plan E2ea8ebc 59ec 4c47 Bfeb 090d27d939cb
Upmedio 2d House Electrical Plan 40fabc68 6e58 469f 8680 6be966eb5a9f

การเขียนแบบด้านวิศวกรรมมีความสำคัญอย่างไร?

ในการเขียนแบบก่อสร้างบ้าน แบบงานด้านวิศวกรรมเป็นกระบวนการที่สำคัญในการแสดงโครงสร้างต่าง ๆ ภายในบ้าน แบบงานด้านวิศวกรรมไม่ได้มีเพียงแบบบ้าน แต่ยังมีแบบในการสร้างอาคาร สะพาน ถนน การเลือกอุปกรณ์และโครงสร้างส่วนอื่น ๆ เพื่อให้สิ่งก่อสร้างได้มาตรฐาน ใช้งานได้จริง และปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน

สำหรับบ้านหรืออาคารที่แข็งแรงและปลอดภัย จะมีการใช้แบบด้านวิศวกรรมที่ประกอบไปด้วยวิศวกรรมโครงสร้าง วิศวกรรมไฟฟ้า และวิศวกรรมประปา ให้ระบบต่าง ๆ ภายในบ้านและอาการสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.delcoi.com/th/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%9a%e0%b8%81%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2/

ท่อ HDPE ราคาถูก คุณภาพดี การเลือกซื้อท่อ HDPE ให้ตรงการใช้งาน

ท่อเอชดีพีอี หรือ ท่อ HDPE บางคนอาจเรียกภาษาที่มักจะรู้จักกันอย่างดีว่าท่อดำ หรือ ท่อพีอี ซึ่งเป็นท่อที่ทำมาจากพลาสติกซึ่ง HDPE ย่อมาจาก High Density Polyethylene ซึ่งส่วนมากจะมีลักษณะเป็นท่อสีดำ นำไปใช้ในงานอุตสาหกรรมได้หลากหลาย ทั้งทางระบบประปา หรือใช้ร้อยเคเบิ้ล หรือ สายไฟ ซึ่งท่อที่นำไปใช้จะมีความแตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมกับงานนั้น ๆ เช่นท่อ hdpe ประปา ภายในท่อจะมีลักษณะมันเรียบและลื่นเพราะให้น้ำนั้นไหลผ่านสะดวก ซึ่งท่อ HDPE ราคาแต่ละชนิด นั้นจะมีความพิเศษต่างกันไป

ด้วยคุณสมบัติของท่อ hdpe ที่ยืดหยุ่นแต่ทนทาน สามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก อาคาร ซึ่งมีหลากหลายขนาดและความยาว และ ราคาให้เลือกเพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน และทุนของงาน ซึ่งท่อ hdpe ราคาเท่าไหร่บ้าง ราคาแต่ละขนาดและความยาวนั้นเท่าไหร่ วิธีเลือกซื้อท่อ hdpe ราคาถูก เรามีคำตอบ

ท่อ HDPE ราคาถูก มีคุณภาพเป็นอย่างไร

ท่อ HDPE ราคาถูกต้องดูอย่างไร

ท่อ HDPE นั้นมีราคาที่ถือว่าถือว่าเป็นวัสดุสำหรับงานอุตสาหกรรมหรืองานทั่วไปที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับคุณสมบัติและการนำไปใช้งาน เนื่องจากต้นทุนที่มีราคาไม่แพง ซึ่งท่อ HDPE ราคามีหลายราคาซึ่งแตกต่างกันไปตามขนาด ชนิดของท่อ และ ความยาว เพื่อการใช้งานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่อ hdpe สีดำคาดฟ้าที่เหมาะสำหรับการประปา หรือการลำเลียงน้ำ และท่อ hdpe สีดำแถบส้มเป็นท่อร้อยสายไฟ หรือ สายเคเบิ้ล สายสื่อสาร สามารถใช้ได้ทั้งภายนอก และ ภายในอาคาร ทนต่อกรด และด่าง สามารถทนต่อแสงอาทิตย์ และ รังสียูวีได้ ติดตั้งได้สะดวก สามารถดัด งอ เพื่อฝังไว้ตามพื้นที่ต่าง ๆ ได้

โดยราคาท่อ hdpe นั้นมีราคาที่ไม่แพงหากเทียบกับวัสดุอื่น ๆ และการนำไปใช้งาน อย่างท่อแถบสีฟ้านั้นจะเหมาะสำหรับงานประปา และคาดส้มเหมาะสำหรับงานเกี่ยวกับไฟฟ้า หากเรามีความรู้ในการเลือกซื้อท่อ HDPE ราคาที่จับต้องได้ และ ชนิดที่เหมาะสม จะช่วยให้งานคุณมีคุณภาพ และ ได้งานที่เรียบร้อย

การเลือกซื้อท่อ HDPE ราคาถูกเบื้องต้น

ในการเลือกซื้อท่อ HDPE ราคาถูก และ เหมาะสมนั้นอันดับแรกที่ควรคำนึงถึงนั่นคือ งานที่เราจำเป็นต้องใช้ท่อ hdpe ไปใช้งาน เลือกท่อ HDPE ราคาและขนาดให้เหมาะกับงาน ซึ่งสิ่งที่ประกอบการตัดสินใจนั่นสามารถดูได้จาก เครื่องหมายการค้า ความสามารถในการรับแรงดัน (PN) และ ชั้นคุณภาพของท่อ (PE) และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง(OD) ยี่ห้อ โดยจะเป็นเรียงเป็นแสตมป์บนตัวท่อตัวอย่างเช่น SR HDPE PE100 PN10  เป็นต้น

ท่อ HDPE ราคาถูกนั้นหลายคนคิดว่าท่อจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งท่อ HDPE นั้นผลิตจากพลาสติกเชิงวิศวกรรมที่มีความหนาแน่นสูง (High Density) มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่า 50 ปี ทนรังสียูวี แสงอาทิตย์ได้ดี ทำให้เหมาะกับทุกฤดูกาล ใช้ได้ทั้งภายในและนอกอาคาร และอีกข้อดีสำหรับท่อ HDPE นั่นคือสามารถติดตั้งได้ง่าย จากคุณสมบัติของท่อที่บิดงอได้จากความยืดหยุ่นสูง สามารถเชื่อมต่อท่อต่อได้ง่ายด้วยวิธีการเชื่อมต่อ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมแบบสวมล็อก หรือ เชื่อมด้วยความร้อน ซึ่งคุณภาพของท่อส่งผลต่อการเชื่อมด้วย หากซื้อท่อที่มีราคาถูกจนเกินไป อาจทำให้คุณภาพของท่อนั้นลดลงและทำให้ระบบงานเสียหายได้

โดยการเลือกท่อ HDPE ราคาต่าง ๆ ให้เหมาะกับการใช้งานสามารถดูได้เบื้องต้นดังนี้

  • คุณภาพของท่อ สามารถดูเบื้องต้นได้ หากท่อนั้นมีสีที่ผิดปกติ ผิวท่อมีความเสียหาย หรือ ผิวท่อนั้นแห้งกรอบเกินไป ท่อ HDPE ราคาถูกเกินไปนั้นอาจเป็นจากคุณภาพการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน
  • เลือกชนิดท่อให้ตรงกับการใช้งานโดยสามารถดูจากแถบสีของท่อได้ดังนี้
    •  ท่อ HDPE สีดำคาดด้วยแถบสีส้ม – ท่อประเภทนี้เหมาะกับการใช้งานสำหรับร้อยสายไฟ ท่อ HDPE ราคาถูกที่เป็นคาดสีส้มนั้นมีความเหมาะกับงานไฟฟ้าตรงที่เรื่องระยะความยาวนั้นสามารถผลิตได้ยาวถึง 500 เมตรต่อม้วนซึ่งจะเหมาะสำหรับการเดินสายไฟหรือเคเบิลระยะไกล สามารถติดตั้งได้รวดเร็ว และไม่เป็นฉนวนไฟฟ้าในตัวเพื่อลดความเสี่ยงในของการไฟรั่วได้
  • ท่อ HDPE ราคาถูกสีดำคาดน้ำเงิน   – เหมาะสำหรับงานประเภทการประปา หรือของเหลว เนื่องจากท่อที่มีความเป็นกลาง ทนกรด และ ด่าง ผิวภายในท่อที่เรียบเนียนทำให้การไหลของน้ำที่มีประสิทธิภาพและลดการเป็นตะกอนทำให้มีสิ่งเจือปนได้

ราคาเบื้องต้นของท่อ HDPE ราคาถูกมีดังนี้

ราคาท่อ pe 1 นิ้ว สเปคท่อ PE80 PN10 SDR 13.6  มีราคาอยู่ที่ประมาณ 32  บาท/เมตร
ราคาท่อ pe 2 นิ้ว สเปคท่อ PE80 PN10 SDR 13.6  มีราคาอยู่ที่ประมาณ 118 บาท/เมตร
ราคาท่อ pe 4 นิ้ว สเปคท่อ PE80 PN10 SDR 13.6  มีราคาอยู่ที่ประมาณ 338 บาท/เมตร

ซึ่งท่อ HDPE ราคานั้นจะแตกต่างกันไปตามความยาว สเปคต่าง ๆ และ เส้นผ่าศูนย์กลางซึ่งควรเลือกให้เหมาะกับงานของเรา

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.srpegroup.co.th/hdpe-pipe-price/

เสาและคาน

“เราเป็นมากกว่าบริษัทรับสร้างบ้านและรีโนเวท เพราะนอกจากเสนองานออกแบบและสร้างบ้านให้แก่ท่านแล้ว เรายังให้ความรู้ในการก่อสร้างด้วย เพราะความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยให้ท่านรู้จริงและรู้ทันช่างและได้รับแต่สิ่งที่ดีนั่นเอง”

เสาและคาน

เสาที่แกะแบบออกแล้วและมีการบ่มคอนกรีต

เสาและคาน

เสาและคาน คือหัวใจที่มีความสำคัญไม่แพ้กับส่วนโครงสร้างอื่นๆในตัวบ้าน เนื่องจากเป็นตัวถ่ายเทน้ำหนักจากชั้นต่างๆลงสู่ฐานรากเพื่อให้อาคารนั้นแข็งแรงมั่นคง

เสาและคาน
เสาและคานกับการกระจายน้ำหนัก

ว่าด้วยเรื่องของเสาและคานบ้าน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของงานโครงสร้างที่สามารถเห็นได้ง่ายกว่าส่วนโครงสร้างอื่นๆ จึงเป็นที่รู้จักได้จากผู้คนทั่วไป แต่น้อยคนนักที่จะเข้าใจอย่างถูกต้องในขั้นตอนการก่อสร้างอย่างถูกต้องและหน้าที่การทำงานหลักของคานและเสา คานและเสานั้นจะทำงานควบคู่กันเสมอคือมีคานไว้รับน้ำหนักพื้นอาคารและถ่ายลงสู่เสาเพื่อกระจายลงสู่ฐานรากต่อไป นี่คือหน้าที่หลัก แต่กระบวกการรับน้ำหนักจริงๆแล้วนั้นมีการกระจายแรงที่มากกว่านั้น เราจะขอแบ่งเสาและคานออกจากกันก่อน

เสาและคาน
เสาและคาน ในงานโครงสร้าง

คาน เราเริ่มตั้งแต่ คานดอดิน ในบทความที่แล้ว คานมีหน้าที่หลักในการรับน้ำหนักจากพื้นของอาคาร โดยการวางพื้นลงบนคานนั้นแบ่งออกเป็น2ประเภท คือ

แผ่นพื้นสำเร็จ เป็นการนำแผ่นพื้นสำเร็จที่มีหลายขนาดความยาว เป็นแผ่นพื้นคอนกรีตอัดแรงชนิดท้องเรียบ รูปหน้าตัดกว้าง 35ซม. หนา 5ซม. เหล็กภายในหนา4mm. เป็นคอนกรีตแข็งที่มีหน้าตัดเดียวคือ35cm. หาซื้อได้ตามร้านวัสดุก่อสร้าง การก่อสร้างจะนำแผ่นพื้นมาวางเรียงต่อกันบนคานและนำเหล็กที่อยู่ด้านปลายของแผ่นพื้นสำเร็จผูกและฝากไว้กับคานจากนั้นจึงเทพื้นหนา5-10cm.ก่อนปูกระเบื้องเป็นอันจบขั้นตอนของงานพื้น ส่วนการกระจายน้ำหนักนั้นจะกระจายออกทางด้านหัวและท้ายของแผ่นเสมอ

เสาและคาน
แผ่นพื้นสำเร็จ
เสาและคาน
การวางแผ่นพื้นสำเร็จ
เสาและคาน
แบบพื้นสำเร็จก่อนการเทพื้น

ทำแบบเทพื้น จะทำค้ำยันไม้พร้อมนำไม้อัดมารองเสมอขอบคานบนตามภาพด้านล่างเพื่อรับหน้ำหนักของปูนที่จะเท จากนั้น ผูกเหล็ก พื้นและเทคอนกรีตหนา10-15cm. เป็นอันเสร็จขั้นตอนก่อนการปูกระเบื้อง

เสาและคาน
แบบเทพื้นค้ำยันและไม้อัดฟิลม์ดำ
เสาและคาน
ค้ำยันหรือที่ภาษาช่างเรียกว่าตุ๊กตา ใช้สำหรับรับน้ำหนักคอนกรีตด้านบนก่อนเท
เสาและคาน
การผูกเหล็กกับแบบไม้ก่อนการเทคอนกรีต
เสาและคาน
การเทคอนกรีตพื้น และควรผสมน้ำยากันซึมด้วย

ซึ่งข้อแตกต่างจากการเลือกใช้ทั้ง 2วิธีนี้ อยู่ที่การทำแบบเทพื้นจะมีการผูกเหล็กเข้ากับคานและเทพื้นโครงสร้างไปเลยทีเดียวทำให้พื้นนั้นหลอมรวมเป็นชิ้นเดียวจึงทำให้ได้ความแข็งแรงมากกว่า แต่จะราคาสูงกว่าเนื่องจากเสียเวลาทำค้ำยันและค่าแรงงานในการทำ ทำให้วิธีนี้เหมาะกับงานที่มีมูลค่าสูง เช่น อาคารขนาดใหญ่ ส่วนงานบ้านพักอาศัย จะนิยมวิธีแรกมากกว่าเนื่องจากมีราคาต้นทุนที่ต่ำกว่า

จะเห็นว่าทั้ง2วิธีนั้นมีการกระจายน้ำหนักลงสู่คานโดยตรง คานจึงต้องมีความใหญ่และขนาดตามที่วิศวกรคำนวณเท่านั้น ซึ่งคานนั้นมีการวางในแนวตั้ง กล่าวคือ คานจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเมื่อมองในรูปตัด โดยความสูงจะมีมากกว่าความกว้าง นั่นก็เพื่อการรับน้ำหนักที่ดีกว่า การวางในลักษณะนี้มีการนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายในงานก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นโครงเหล็ก เหล็กคาน และอื่นๆที่ต้องรับน้ำหนัก จะมีการวางแนวตั้งเหมือนกันหมดเพื่อการรับน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง

เสา เสามีมากมายหลากหลายขนาด ทั้งแบบสี่เหลี่ยมจตุรัสหรือผืนผ้า ตามแต่การคำนวณโดยวิศวกร เสามีหน้าที่หลักในการรับน้ำหนักจากคานลงสู่ ตอม่อหรือฐานราก โดยตรง เสาอาคารหรือบ้านนั้นต้องมีเหล็กเสริมความแข็งแรงด้านใน ซึ่งถ้าเป็นอาคารบ้านเรือนจะเป็นเหล็กDB16mm.-DB18mm. เนื่องจากมีความฝืดและยึดเกาะกับคอนกรีตได้ดีกว่าเหล็กRBหรือเหล็กกลม โดยมีเหล็กปลอกรัดรอบเสา ส่วนใหญ่ใช้เหล็กปลอกRB9mm.@15cm. เมื่อได้เสาเหล็กที่ผูกไว้แล้วจึงนำแบบไม้หรือแบบเหล็กตามขนาดที่เตรียมไว้มาประกอบพร้อมกับเทคอนกรีตโครงสร้างที่มีหินเป็นส่วนผสมพร้อมผสมน้ำยากันซึม เมื่อผ่านไป24ชั่วโมงจึงแกะแบบออกพร้อมรัดปิดด้วยพลาสติกเพื่อบ่มคอนกรีต ป้องกันคอนกรีตแห้งตัวเร็วเกินไปส่งผลให้เกิดการร้าวได้

เสาและคาน
เหล็กDB18 เหล็กปลอกRB9@15
เสาและคาน
แบบไม้ที่ใช้หล่อเสา
เสาและคาน
แบบเหล็กที่ใช้เป็นแบบหล่อเสา
เสาและคาน
เสาที่แกะแบบออกแล้วและมีการบ่มคอนกรีต

จะเห็นว่าเสาและคานมีความสำคัญไม่แพ้โครงสร้างส่วนอื่นๆของตัวบ้าน แม้แต่ขั้นตอนเล็กๆน้อยๆก็ควรใส่ใจ

Trick :

1 การผสมคอนกรีตเพื่อเทลงเสาหรือคานนั้น จำเป็นอย่างมากที่ต้องผสมน้ำยากันซึมลงในคอนกรีตเพื่อป้องกันปัญหาการใช้งานไปนานๆหลายปีแล้วคอนกรีตแตกร้าวส่งผลให้น้ำฝนเข้าไปทำให้เหล็กเกิดสนิมจนเสาปริแตกหรือระเบิดได้ จนต้องตามแก้ไขกันภายหลัง

เสาและคาน
เสาที่ปริแตก ผลจากการไม่ผสมน้ำยากันซึม และการผสมปูนไม่ถูกอัตราส่วนและประเภทที่ใช้

2 เสาหรือพื้นนั้นเมื่อเทเสร็จหรือแกะแบบออกแล้ว เพื่อป้องกันการแข็งตัวเร็วเกินไปจนปริหรือแตกร้าว ควรมีการบ่มคอนกรีตด้วยการทำให้ชื้นอยู่ตลอดเวลาเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า36ชั่วโมง เพื่อให้ผิวนอกสุดเมื่อโดนอากาศแล้วไม่แข็งเร็วจนเกินไป วิธีที่นิยมสำหรับพื้นคือการนำกระสอบมาคลุมปิดทับพร้อมรดน้ำให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา ส่วนเสานั้นนิยมนำพลาสติกมาคลุมปิดทับไว้พร้อมรดน้ำให้เป็นไอความชื้นอยู่ภายในพลาสติกกับคอนกรีต วิธีเหล่านี้เป็นกลเม็ดเล็กๆที่ไม่ควรมองข้าม เพื่องานที่ดีที่สุดจะอยู่คู่กับท่านได้ตลอดไป

เสาและคาน
เสาที่มีการพันพลาสติกโดยรอบเพื่อบ่มคอนกรีต
เสาและคาน
การบ่มคอนกรีตเสา ควรให้ชื้นเป็นเวลาไม่น้อยกว่า36ชั่วโมง
เสาและคาน
การบ่มคอนกรีตพื้น ควรให้ชื้นเป็นเวลาไม่น้อยกว่า36ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.wee-interior.com/2019/06/25/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%99/

ท่อสแตนเลส STAINLESS STEEL PIPE

ท่อสแตนเลส Stainless Steel Pipe
ท่อกลมสแตนเลส 3/8 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 1/2 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 5/8 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 3/4 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 7/8 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 1 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 1 1/4 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 1 1/2 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 2 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 2 1/2 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 3 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 4 นิ้ว / ท่อกลมสแตนเลส 5 นิ้ว

สแตนเลส 304
สแตนเลสเกรด 304 เป็นสแตนเลส เกรดตระกูล ออสเทนนิติค Austenitic ที่ได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย บางครั้งมีการเรียก สแตนเลสเกรดนี้ว่า 18/8 โดยสแตนเลสเกรด 304 เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ข้อดีคือไม่เป็นสนิม ทนต่อการกัดกร่อนสูง สามารถขึ้นรูปเย็น และเชื่อมได้ดี

สแตนเลส 304L
สเตนเลสเกรด 304L เหมาะกับการใช้งานเชื่อมที่ดีกว่า ข้อดีคือไม่เป็นสนิม เหมาะกับการใช้งานจำพวกแทงค์น้ำต่างๆ

สแตนเลสเกรด 316
สแตนเลสเกรด 316 ใช้กับงานทนกรด ทนเคมี หรือเป็นเกรดที่ปฏิกิริยากับกรดน้อย

สแตนเลส 316L
ใช้กับงานทนกรดที่เข้มข้นกว่ามาก ทนเคมีมากกว่า หรือเป็นเกรดที่ปฏิกิริยากับกรดน้อยมาก (มีความทนต่อกรดมากกว่า)

สเตนเลสแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ตามโครงสร้างคือ

ตระกูลออสเทนนิติค (Austenitic) หรือที่รู้จักกันใน “ซีรี่ส 300” ซึ่งประมาณได้ว่า 70เปอร์เซนต์ของการผลิตสเตนเลสในโลกนี้เป็นสเตนเลสตระกูลออสเทนนิติค ที่ประกอบด้วยคาร์บอนอย่างน้อย 0.15 เปอร์เซนต์ มีส่วนผสมของโครเมียมอย่างน้อย 16 เปอร์เซนต์ และ นิกเกิล หรือซึ่งช่วยปรับปรุง คุณสมบัติในการขึ้นรูปประกอบและเพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อน บางเกรดจะมีแมงกานีสผสมอยู่ด้วย โดยทั่วไปจะมีโครเมียน 18 เปอร์เซนต์ นิกเกิ้ล 10 เปอร์เซนตื และมักเรียกกันว่า 18/10 ซึ่งคล้ายกับ 18/0 และ 18/8

ตระกูลเฟอร์ริติค (Ferritic) มีสมบัติดูดแม่เหล็ก มีโครเมียมเป็นธาตุผสมหลักระหว่าง 10.5-27 เปอร์เซนต์ บางเกรดผสมนิกเกิ้ลลงไปเล็กน้อย บางเกรดผสมโมลิบดินัม หรืออลูมิเนียม ไททาเนียม

ตระกูลมาร์เทนซิติค (Martensitic) เป็น ตระกูลที่มีความต้านทานการกัดกร่อนน้อยกว่าออสเทนนิติค และเฟอร์ริติค แต่มีความทนทานและแข็งแรงมากกว่า มีคุณสมบัติดูดแม่เหล็ก โดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของโครเมียม 12 -14 เปอร์เซนต์ โมลิบดินัม 0.2-1 เปอร์เซนต์ มีนิกเกิ้ล 0-2 เปอร์เซนต์และมีคาร์บอนผสม อยู่ประมาณ 0.1-1 เปอร์เซนต์ ซึ่งสามารถชุบแข็งได้โดยการให้ความร้อนแล้วทำให้เย็นตัวอย่างรวดเร็วและอบ คืนตัว โดยทั่วไปจะรู้จักกันใน “ซีรี่ส -00”

ตระกูลดูเพล็กซ์ (Duplex) เนื่องจากมีโครงสร้างผสมระหว่าง โครงสร้างเฟอร์ไรต์และออสตไนต์ จึงทำให้มีความแข็งแรงมากกว่าออสเทนนิติคและมีความทนทานต่อการกัดกร่อนชนิด รูเข็ม ซอกอับ มีโครเมียมเป็นธาตุผสมอยู่ระหว่าง 19 ถึง 28 เปอร์เซนต์ โมลิบดินัมสูงกว่า 5 เปอร์เซนต์ และมีนิกเกิลน้อยกว่าตระกูลออสเทนนิติคใช้งานมากในสภาพแวดล้อมที่มีคลอไรด์ สูง

ตระกูลเพิ่มความแข็งโดยการตกผลึก มีความต้านทานกการกัดกร่อนเทียบเคียงกับตระกูลออสเทนนิติค มีความแข็งแรงมากกว่าตระกูลมาร์เทนซิติค เกรด 17-4H ที่รู้จักกันทั่วไป มีโครเมียมผสมอยู่ 17 เปอร์เซนต์และมีนิกเกิล 4 เปอร์เซนต์ ทองแดง และไนโอเบียม ผสมอยู่ด้วย เนื่องจาก สเตนเลสชนิดนี้สามารถชุบแข็งได้ในคราวเดียว จึงเหมาะสำหรับทำแกน ปั๊มหัววาล์ว และส่วนประกอบของ อากาศยาน

ขอบคุณข้อมูลจาก https://comadvance.co.th/wp-content/uploads/2021/03/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AA_Page_11-scaled.jpg

รู้ทันราคาเหล็ก ไม่มีเจ็บตัว

ชื่อรายการสินค้า   น้ำหนัก   ราคา / กก.            

RB6        2.22       21.31    47.30   

RB9        4.99       20.54    102.50

DB12     8.88       19.71    175.00

DB16     15.78    19.52    308.00

DB20     24.66    19.51    481.00

DB25     38.53    19.52    752.00

รู้ทันราคาเหล็ก ไม่มีเจ็บตัว

     ปัจจุบันเราทราบกันดีว่าในปี 2566 นั้น ตลาดอุตสหกรรมเหล็กในประเทศไทยมีความผันผวนอย่างมากจากหลาย ๆ ปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นราคาเหล็กโลกที่ปรับตัวลดลงจากเศรษฐกิจโลกที่ยังมีผันผวนสูง แม้แต่ในอุตสหรรมเหล็กในประเทศจีนเองก็เป็นอีกหนึ่งในกำลังผลิตของไทย ช่วงปลายปี 2566 จะเป็นช่วงฤดูกาล ที่ต้องพักกำลังผลิตภายในประเทศจีน ทางประเทศไทยจะไม่ได้รับเหล็กนำเข้ามาได้ตามจำนวนที่ต้องการ หรือจะเป็นการใช้เหล็กในประเทศไทย อาจได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการอนุมัติโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ ของภาครัฐในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเมื่อเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นต้น

     ผลกระทบเหล่านี้ล้วนส่งผลไปทุกส่วนทั้งคนในวงการเหล็กและผู้ซื้อทั่วไป ดังนั้นหากเราอยากจะทราบแนวโน้มของราคาเหล็กในปี 2567

เราจะทราบได้อย่างไรว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาเหล็กปรับตัวขึ้นลงตลอดเวลา วันนี้สตีลเบสท์บายมีคำตอบให้

ราคาเหล็กปรับขึ้นลงเกิดจากอะไร?
เนื่องจากในทุก ๆ ปี ราคาเหล็กเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเราจะคาดคะเนราคาได้ยังไงแล้วปัจจัยใดที่ทำให้ราคาเหล็กผันผวนได้ขนาดนี้
สตีลเบสท์มีวิธีการดูดังคำอธิบายต่อไปนี้

“STEEL NEVER GROW ON TREE”
โดยความหมายก็คือ เหล็กไม่ได้งอกขึ้นมาเองได้เหมือนผลิตผลทางการเกษตร คำนี้หมายความว่า Supply ของเหล็กทั่วโลกมีที่มาที่ไปและสามารถคาดเดาและคำนวณได้แบบแม่นยำมากซึ่งเป็นไปตามหลัก Supply – Demand จึงสามารถคาดเดาได้ง่ายกว่าสินค้าประเภทอื่น ๆ อย่างเช่น ข้าว ยางพารา น้ำตาล ซึ่งยากต่อการคาดคะเนราคามากกว่า ดังนั้นหากเรา อยากจะทราบ Supply – Demand ของอุตสาหกรรมเหล็กอย่างกว้าง ๆ เพื่อให้เข้าใจถึงกลไกราคา ผมจะอธิบายได้ดังนี้

กลไกของราคาเกิดจากปัจจัยอะไร?
Demand โลก ประมาณ 1,600 ล้านตัน ต่อปี โดยอ้างอิงใน ปี 2559 โดยปัจจุปัน Demand โลก อยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านตัน ต่อปี
Supply โลก มี ผลผลิต (Crude output) ที่ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ กำลังผลิต (Capacity) โลก เรามีความสามารถในการผลิตเหล็กมากกว่าความต้องการใช้เหล็ก ซึ่งในประเทศมีปริมาณการใช้เหล็ก เฉลี่ย 18 ล้านตันต่อปี ขณะที่ปริมาณการผลิตในประเทศโดยเฉลี่ยมีอยู่เพียง 7 ล้านตันต่อปี คิดเป็น 50% – 70% เท่านั้น จึงส่งผลให้จำเป็นต้องมีการนำเข้าเหล็กจำนวนมาก
ประเทศจีน เป็นเจ้าของผลผลิต (Crude output) ถึงครึ่งนึงของทั้งโลก คือประมาณ 808 ล้านตันต่อปี โดยที่ผลผลิตมหาศาลของจีน ส่วนใหญ่ถูกใช้ภายในประเทศ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีส่วนเกิน โดยเฉลี่ย 100 ล้านตันต่อปี ถูกส่งออกไปขายทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการนำเข้า ปี 2016 อยู่ที่ 17.2 ล้านตัน
จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้เราได้ข้อสรุปราคาเหล็กประเทศไทยดังนี้

ปริมาณการใช้เหล็กในประเทศไทย นับเป็นเพียง 1% ของทั้งโลก แทบจะเรียกได้ว่าเล็กมากจนไม่มีนัยสำคัญในตลาดโลกเลย
ประเทศไทยไ่ม่มีอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ ถลุงเหล็กใช้เองไม่ได้ เหล็กที่ใช้งานในประเทศเกือบ 100% มาจากการนำเข้าทั้งหมด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ตัวเลขแตกต่างระหว่าง Demand = 19 ล้านตัน กับ Import = 17.2 ล้านตัน เกิดจากการ Recycle เศษเหล็กในประเทศประมาณ 1.5 ล้านตัน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก
ตัวอย่างดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ในเดือนตุลาคม ปี 2566 อยู่ที่ระดับ 89.38 หดตัวร้อยละ 4.29 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2565 ส่งผลให้ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.04 เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวช้า

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า
“ราคาเหล็กในประเทศไทย ขึ้นลง ตามราคาเหล็กโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับราคาน้ำมัน ”การจะคาดเดาแนวโน้มราคาเหล็กในประเทศไทย เราจะต้องมีความเข้าใจความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของราคาเหล็กโลกเป็นอย่างดีก่อนจึงจะคะเนราคาเหล็กออกมาได้ อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงยังมีปัจจัยแวดล้อมอีกหลายอย่างซึ่งส่งผลต่อราคาเหล็กในไทย อีกมาก อาทิ เช่น
1) กฎหมาย AD, Safeguard หรือก็คือ มาตรการภาษีเพื่อปกป้องราคาเหล็กภายในประเทศ
2) กฎหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)
3) ปริมาณสต็อค ในช่วงเวลาต่างๆ
4) สภาพคล่องในตลาด

และในช่วงปี 2566 นี้ ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการอนุมัติโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ ของภาครัฐ ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เมื่อเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลต่อการอนุมัติงบประมาณประจำปี 2567 ที่เกิดล่าช้านั้น ผมคาดการณ์ไว้ว่าทางผู้ซื้อเหล็กรายย่อย และรายใหญ่จะต้องการเหล็กมากขึ้นคือช่วงเดือน มกราคม-เมษายน ปี 2567 (เป็นหน้าขายเหล็ก 1 ถึง 4 เดือนแรก เหล็กจะขายได้เยอะที่สุดในทุกปี) ซึ่งทางสตีลเบสท์บายเองก็มีการเตรียมตัวใน ปี 2567 ที่จะมาถึง ในการจำหน่ายเหล็กก่อสร้างทุกชนิดเพื่อให้ผู้ซื้อมีทางเลือกที่หลากหลายขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก https://steelbestbuy.com/daily-steel-price/

ฐานราก (Footing) แต่ชนิด แตกต่างกันยังไง

ฐานราก หรือที่ช่างนิยมเรียกกันว่า “ฟุตติ้ง” คือโครงสร้างส่วนที่อยู่ใต้ผิวดิน ทำหน้าที่แบกรับน้ำหนักจากเสาแล้วถ่ายลงสู่ดิน การใช้ฐานรากแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก จะก่อสร้างได้ง่าย รวดเร็ว และมีความแข็งแรง ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ

ฐานราก ถูกแบ่งออกตามลักษณะได้ 2 ชนิด คือ

  1. ฐานรากตื้น (Shallow Foundation) หรือแบบไม่มีเสาเข็มรองรับ หมายถึงฐานรากซึ่งลึกจากระดับผิวดินน้อยกว่า หรือเท่ากับด้านที่สั้นที่สุดของฐานราก โดยฐานรากวางอยู่บนชั้นดินโดยตรง และไม่มีการตอกเสาเข็มเพื่อรองรับฐานราก เหมาะกับสภาพพื้นดินที่มีความสามารถแบกรับน้ำหนักบรรทุกได้สูง และกับสภาพพื้นดินที่ตอกเสาเข็มไม่ลงหรืออย่างยากลำบาก เช่น พื้นที่ดินลูกรัง พื้นที่ภูเขาทะเลทราย
  2. ฐานรากลึก (Deep Foundation) หรือแบบมีเสาเข็มรองรับ หมายถึงฐานรากที่ถ่ายน้ำหนักโครงสร้างลงสู่ดินด้วยเสาเข็ม เนื่องจากชั้นดินที่รับน้ำหนักปลอดภัยอยู่ในระดับลึก เหมาะกับการก่อสร้างบนดินอ่อน มีการออกแบบฐานรากให้มีขนาดเสาเข็มและความลึกให้มีลักษณะ แตกต่างกันเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนัก และความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่

ปัจจัยที่มีผลต่อความมั่นคงของฐานราก

  • ความแข็งแรงของตัวฐานรากเอง ซึ่งหมายถึงโครงสร้างส่วนที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก
  • ความสามารถในการแบกรับน้ำหนักของดินใต้ฐานราก
  • การทรุดตัวของดินใต้ฐานราก ควรเกิดขึ้นได้น้อย และใกล้เคียงกันทุกฐานราก

ประเภทของฐานราก ทั้งฐานรากชนิดตื้นและชนิดลึก มีลักษณะของการก่อสร้างและความสามารถในการรับน้ำหนักที่แตกต่างกัน แบ่งได้ดังนี้
ฐานแผ่เดี่ยว (Spread Footing) หมายถึงฐานรากที่รับน้ำหนักจากเสาอาคาร เพียงต้นเดียว แล้วถ่ายน้ำหนักลงสู่พื้นดิน ความหนาของตัวฐานต้องสามารถต้านทานโมเมนต์ดัดและแรงเฉือนได้อย่างเพียงพอ และสามารถป้องกันการกัดกร่อนตัวเหล็กเสริมเนื่องจากความชื้น ในบางกรณีที่เสาอาคารไม่วางอยู่บนศูนย์กลางฐานราก เช่นอยู่ติดเขตที่ดินอาจถูกออกแบบให้เสาวางอยู่ด้านใดด้านหนึ่งของฐานราก เราเรียกว่าฐานรากแบบนี้ว่า ฐานรากตีนเป็ด
ฐานต่อเนื่องรับกำแพง (Continuous Footing) หมายถึงฐานรากที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักจากผนังก่ออิฐ หรือผนังคอนกรีตเสริมเหล็กของอาคารหลายๆ ชั้น ขนาดความกว้างของฐานรากขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่กดลงสู่ฐานราก
ฐานแผ่ร่วม (Combined Footing) เป็นการออกแบบฐานรากเพื่อแก้ปัญหากรณีไม่สามารถสร้างฐานรากเดี่ยวที่สมมาตรได้ ซึ่งฐานรากที่ไม่ สมมาตรนี้เมื่อรับน้ำหนักที่ถ่ายลงบนฐานไม่เท่ากันทำให้เกิดแรงเยื้องศูนย์ อาจทำให้อาคารทรุดตัวได้
ฐานรากชนิดมีคานรัด (Cantilever Footing) เป็นการออกแบบฐานรากเพื่อแก้ปัญหากรณีไม่สามารถสร้างฐานรากที่สมมาตรได้อีกวิธีหนึ่ง เหมาะกับเสาของอาคารที่มีความจำเป็นต้องสร้างประชิดติดกับอาคารเดิม หรือแนวเขตดินที่ไม่สามารถวางตาแหน่งของฐานให้ ตรงกับแนวเสาตอม่อได้ จึงออกแบบให้มีคานคอนกรีตแบกรับน้ำหนักจากเสาตอม่อ
ฐานรากแพ (Mat or Raft Foundation) เป็นฐานร่วมขนาดใหญ่ใช้รับน้ำหนักบรรทุกของเสาหลายๆ ต้น โดยจะแผ่บนพื้นที่กว้างๆ บางครั้งจะใช้รับน้ำหนักบรรทุกของเสาทุกต้นของอาคารก็ได้โดยมากแล้วเราจะใช้ฐานแพกับอาคารสูง ข้อดีของฐานรากชนิดนี้เมื่อเทียบกับฐานรากเดี่ยวคือ กระจายน้ำหนักสู่ดิน หรือหินเบื้องล่างได้ดีกว่า และปัญหาการทรุดตัวต่างระดับแทบหมดไป เพราะฐานรากชนิดนี้มีความต่อเนื่องกันตลอดโยงยึดกันเป็นแพ แต่การก่อสร้างจะยุ่งยาก และสิ้นเปลือง

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thitinan.co.th/footing/

วัสดุก่อสร้างคืออะไร? แล้วมีกี่ประเภท?


วัสดุก่อสร้าง
 หมายถึง อุปกรณ์ก่อสร้างที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของมนุษย์ หรือ เป็นวัสดุที่ก่อสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของคนในยุคนี้ เช่น อาคาร บ้านเรือน หอพัก ห้องเช่า อาคาร ตึกคอนโด ถูกออกแบบมาในรูปแบบลักษณะที่แตกต่างกันไป

วัสดุก่อสร้าง

การเลือกซื้อวัสดุก่อสร้างเป็นหัวใจหลักสำคัญ ไม่ว่าจะสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้าง ช่างก่อสร้าง, ช่างบ้านทั่วไป หรือ ผู้จ้างงาน ความรู้ และ ความเข้าใจในการเลือกซื้อวัสดุก่อสร้าง จะส่งผลให้งานที่ออกมามีคุณภาพหรือไม่ มั่นคง เสถียรภาพยาวนานและสามารถประหยัดงบประมาณได้เป็นอย่างดี

ประเภทของวัสดุก่อสร้าง

วัสดุก่อสร้างที่มีหลายรูปแบบ ออกแบบมาเฉพาะลักษณะงาน สามารถแบ่งแยกได้หลายด้าน หรือ หลายประเภท เช่น แบ่งประเภทโครงสร้างในงานก่อสร้าง ดังนี้

ประเภทวัสดุสิ่งปลูกสร้างทั่วไป ได้แก่

1.หิน ดิน ทราย

2.ไม้ ไม้อัด

3.วัสดุก่อ อิฐ อิฐมอญ อิฐบล็อก กระเบื้อง

4.เหล็ก เหล็กรูปพรรณ อะลูมิเนียม เหล็กกล้า เหล็กเส้น สลิง

5.คอนกรีต คอนกรีตเสริมแรง คอนกรีตมวลเบา ปูน

6.พลาสติก พอลิเมอร์

7.ผ้า เชือก

8.กระจก

9.ยางมะตอย

วัสดุก่อสร้างมุงหลังคาบ้านเรือน ได้แก่

1.กระเบื้องมุงหลังคา

2.สังกะสี

3.เมทัลชีท

วัสดุก่อสร้างสำหรับปูพื้น ได้แก่

1.กระเบื้องปูพื้น

2.ปาเก้

3.ไม้ปูพื้น

วัสดุก่อสร้างมีความสำคัญในงานอุตสาหกรรมก่อสร้าง และ มีความหลากหลายในการเลือกนำมาใช้งาน การเลือกวัสดุก่อสร้างที่ดี คือ การเลือกให้เหมาะกับลักษณะงานก่อสร้าง ความแข็งแรง ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนในการก่อสร้างและประหยัดค่าใช้จ่าย เลือกวัสดุที่ดีมีคุณภาพสามารถติดตามข่าวสารหรือบทความใหม่ๆได้ที่ นี้เลย รวมบทความวัสดุก่อสร้าง เครื่องมือช่างอื่นๆ 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.contractorshop.co.th/th/article-detail.php?IdArticles=82

รฟม.ตรวจไซด์ก่อสร้าง”สายสีม่วงใต้”เข้มมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

รฟม. ตรวจเข้มมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในช่วงเวลากลางวัน การก่อสร้าง รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) จุดเปิดหน้าดิน แนวถนน ทหาร -สามเสน-ประชาธิปก-ถนนสุขสวัสดิ์

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดย กองสิ่งแวดล้อม ฝ่ายพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า ลงพื้นที่ตรวจสอบและติดตามการดำเนินงานลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในช่วงเวลากลางวัน การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ตลอดแนวเส้นทางโครงการฯ เริ่มตั้งแต่บริเวณจุดก่อสร้าง Cut & Cover บนถนนทหาร ต่อด้วยจุดก่อสร้างสถานีรัฐสภา บนถนนสามเสน รวมถึงตลอดแนวก่อสร้างโครงสร้างทางวิ่งหลัก บนถนนพระสุเมรุ ถนนประชาธิปก ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน และสิ้นสุดที่แนวก่อสร้างโครงสร้างทางวิ่งหลัก บนถนนสุขสวัสดิ์

โดยในการลงพื้นที่ครั้งนี้ รฟม. ได้ตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในช่วงเวลากลางวัน ตามที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA เช่น การติดตั้งรั้วกั้นรอบพื้นที่ก่อสร้าง การฉีดพรมน้ำป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง การปิดคลุมกองวัสดุก่อสร้างที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองในระหว่างรอการใช้งานหรือรอการขนย้าย การทำความสะอาดล้อรถก่อนออกจากพื้นที่ก่อสร้าง และการคลุมผ้าใบกระบะรถบรรทุกก่อนออกจากพื้นที่ก่อสร้าง เป็นต้น พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก https://mgronline.com/business/detail/9660000092317

แนวโน้มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 2023 [แนวโน้มประเทศไทย]

ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 2023 นี้ มาวิเคราะห์จากแนวโน้มการลงทุนอสังหาฯ ในปีนี้ เพื่อให้คุณสามารถปรับทิศทางให้ทันการเปลี่ยนแปลง

ก่อนการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ การหาข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดก่อน จะทำให้คุณเห็นภาพรวมทั้งในด้านบวกและความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้น จึงช่วยให้คุณเห็นโอกาสในการลงทุนและสามารถหาช่องทางทำเงินที่เข้ากับสถานการณ์ในช่วงนั้นได้

สำหรับผู้ที่กำลังมีแผนที่จะลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 2023 นี้ มาวิเคราะห์จากแนวโน้มการลงทุนอสังหาฯ ในปีนี้ เพื่อให้คุณสามารถปรับทิศทางให้ทันการเปลี่ยนแปลง และวางแผนในการลงทุนอสังหาให้ได้กำไรอย่างตรงจุด

แนวโน้มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 2023 ของประเทศไทย

หลังจากที่ผ่านสถานการณ์ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 มาแล้ว ในปี 2023 ถือว่าเป็นช่วงที่สถานการณ์ได้คลี่คลายลง และอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจได้กลับมาฟื้นตัว 

นั่นจึงส่งผลให้แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทในปีนี้กลับมาดีขึ้นได้อีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความท้าทายใหม่ๆ เกิดขึ้นมา ที่ทำให้ผู้ที่อยู่ในวงการอสังหาฯ ต้องเตรียมพร้อมที่จะปรับตัวให้ทันสถานการณ์อยู่เสมอ

สำหรับแนวโน้มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยปี 2023 นี้ แบ่งออกตามตลาดได้เป็น

  • ตลาดอาคารสำนักงาน โดยในปีนี้หลายองค์กรมีความใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ผู้เช่าได้ให้ความสำคัญกับการเลือกเช่าพื้นที่อาคารเกรดเอใหม่ๆ เนื่องจากอาคารเหล่านี้จะผ่านการรับรองมาตรฐานของอาคารที่มีคุณภาพสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอีกด้วย สำหรับเจ้าของอาคารเก่าหรือเกรดรองลงมา ปีนี้จึงถือว่ามีความท้าทายในการประเมินและปรับปรุงอาคาร เพื่อให้สามารถแข่งขันกับตลาดอาคารใหม่ๆ ได้
  • ตลาดอสังหาฯ แนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม โดยในปี 2022 มีมาตรการต่างๆ ให้ผู้บริโภคซื้อที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ทำให้ดึงกำลังซื้อของผู้บริโภคในปีนี้ไปล่วงหน้าแล้ว และในปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่กว่า 58,000 หน่วย ทำให้สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ แนวราบกลับเข้าสู่ความสมดุลเหมือนช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด
  • ตลาดคอนโดมิเนียม (กรุงเทพฯ) โดยมีการคาดการณ์ว่า ราคาคอนโดจะเริ่มทยอยปรับตัวสูงขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และต้นทุนการพัฒนาโครงการที่เพิ่มขึ้น และในปีนี้ คาดการณ์ว่าตลาดพรีเซลล์จะมีอัตราการขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการคอนโดที่มีทุกระดับราคา รวมถึงมีกำลังซื้อจากต่างชาติเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากนี้ การกลับมาเปิดประเทศหลังช่วงโควิด-19 คลี่คลาย ยังส่งผลให้โอกาสลงทุนในอสังหาฯ ปีนี้ โตขึ้นได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศที่ให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ได้เดินทางมาท่องเที่ยว รวมถึงลงทุนในอสังหาฯ ไทยมากขึ้น และถึงแม้ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้ต้นทุนมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นโอกาสที่ทำให้นักลงทุนสามารถปรับค่าเช่าให้สูงขึ้นได้ด้วย

ปัจจัยเชิงบวกในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ปี 2023

สำหรับปัจจัยเชิงบวก เป็นปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมในการลงทุนอสังหาฯ ในปีนี้ให้มีโอกาสเติบโตขึ้น โดยมีปัจจัยในด้านต่างๆ ดังนี้

1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังสถานการณ์โควิด-19

โดยหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ประเทศไทยได้มีนโยบายการเปิดเมืองเพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้กลับมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยได้อีกครั้ง ซึ่งเมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ก็ส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ ที่เกี่ยวข้องกับที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวสามารถกลับมาเติบโตได้ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมในเมืองท่องเที่ยว โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ (Service Apartment) 

2. นโยบายที่ให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านในไทยได้

โดยนโยบายนี้มีเงื่อนไขว่าชาวต่างชาติที่จะซื้อบ้านในไทยได้ต้องลงทุนในประเทศไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น รวมถึงยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายอสังหาฯ ราคาสูงให้กับต่างชาติที่มีศักยภาพในการซื้อสูงด้วย

3. มาตรการลดค่าโอน ค่าจดจำนอง

ในปี 2023 ได้มีมาตรการลดค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนจำนอง สำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสองในอัตราพิเศษ โดยจากเดิมที่ค่าจดทะเบียนการโอนจาก 2% ลดเหลือ 1% และ ค่าจดทะเบียนจำนองจาก 1% ลดเหลือ 0.01% ช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น

ความท้าทายในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ปี 2023

นอกจากเรื่องปัจจัยบวกแล้ว ยังมีความท้าทายในการลงทุนอสังหาฯ เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนตั้งรับความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น โดยมีปัจจัยในด้านต่างๆ ดังนี้  

1. ปัจจัยด้านต้นทุนที่สูงขึ้น

การเพิ่มขึ้นของต้นทุน ส่งผลทำให้ราคาของอสังหาฯ ในปีนี้เพิ่มสูงมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งจากต้นทุนของวัสดุก่อสร้าง การเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ ภาวะเงินเฟ้อ ราคาพลังงาน การขนส่งต่างๆ จึงทำให้ในปี 2023 นี้ ราคาของโครงการอสังหาฯ ต่างๆ มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นอย่างน้อย 5% หรือมากกว่า

2. ภาวะเงินเฟ้อ

ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น ทั้งจากปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซีย-ยูเครน โรคระบาด ปัญหาน้ำท่วม ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการทั่วโลกสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งกระทบถึงต้นทุนของการทำอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้น ราคาของอสังหาฯ จึงสูงขึ้น จนอาจส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่น้อยลง

3. ราคาประเมินที่ดินใหม่ และราคาตลาดที่ดินที่เพิ่มขึ้นทุกปี

โดยกรมธนารักษ์ได้ประกาศใช้บัญชีราคาประเมินที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้าง ตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. 2562 ทำให้ในปีนี้ ราคาประเมินที่ดินเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 8.93% และราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น 6.21%

นอกจากการเพิ่มขึ้นราคาประเมินราชการแล้ว ราคาตลาดที่ดินเองก็มีการปรับราคาขึ้นอยู่ตลอดทุกปี โดยในปีนี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น 3-5% ของปีก่อนหน้า จึงทำให้นักลงทุนอสังหาฯ อาจต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

อยากลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 2023 ต้องปรับตัวอย่างไร?

สำหรับนักลงทุนอสังหาฯ ในปี 2023 นี้ หากต้องการหาโอกาสในการลงทุนให้เติบโตได้ สามารถเลือกช่องทางได้ ดังนี้ 

  • เลือกลงทุนกับอสังหาฯ ราคาสูง หรือเกรดพรีเมียม โดยเจาะไปที่กลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง กับอสังหาฯ ในราคาระหว่าง 25-30 ล้านบาท ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ก็มีโอกาสที่จะมีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนได้มากขึ้น
  • เลือกโครงการอสังหาฯ ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ในช่วงของการฟื้นตัวหลังการระบาดของโควิด-19  ทำให้คนที่มองหาที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่มองหาความตอบโจทย์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่อาจต้องทำงานที่บ้านสลับกับเข้าออฟฟิศ มีส่วนกลางที่รองรับในการดูแลสุขภาพ และคุ้มค่าในการออกแบบทั้งดีไซน์และการใส่เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อความสะดวกในการอยู่อาศัยมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดโครงการใหม่ๆ ที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะทำให้มีโอกาสขายได้ง่ายขึ้น
  • เลือกโครงการทำเลสร้างโอกาส โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพในปัจจุบัน อสังหาฯ ที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าเดิมอาจหาลงทุนได้ยากขึ้น หรือมีราคาที่สูงมาก การเลือกลงทุนกับอสังหาในทำเลที่น่าสนใจและสามารถเป็นโอกาสสร้างกำไรต่อในอนาคตอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เช่น เขตรอบนอกกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันการเดินทางเชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ มีความสะดวกยิ่งขึ้น / ตามแนวโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ โดยในอนาคตทำเลเหล่านี้จะมีราคาสูงขึ้น และความต้องการในการอยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก https://blog.ghbank.co.th/real-estate-trends-in-thailand/

พระราม 2 อีกแล้ว เหล็กก่อสร้างหล่นทับคนงาน

พระราม 2 อีกแล้ว แม่แบบเหล็กก่อสร้างบนสะพานหล่นทับคนงาน เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 1 ราย เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบ

15 ธันวาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.แสมดำ ได้รับแจ้งเหตุแม่แบบเหล็กก่อสร้างบนสะพานหล่นทับคนงาน บนถนนพระราม 2 ซอย 82 เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร จึงประสานกู้ภัยจากมูลนิธิร่วมกตัญญู เข้าตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุ พบร่างผู้เสียชีวิต 1 คน เป็นชาย อายุ 35 ปี สัญชาติเมียนมา สภาพถูกคานเหล็กทับ ลักษณะนอนคว่ำหน้า และคนเจ็บอีก 1 คน อายุ 44 ปี ถูกคานเหล็กหล่นทับ อาสาสมัครมูลนิธินำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง


สอบถาม คนขับเครน เปิดเผยว่า ขณะกำลังจะใช้รถเครนเพื่อยกคานเหล็กดังกล่าว เพื่อย้ายตำแหน่ง ก็เกิดเสียงดังขึ้นก่อนที่คานเหล็กจะตกลงมา เป็นช่วงจังหวะที่คนงานชาวเมียนมา 2 คนเดินอยู่ใต้เหล็ก โดยที่ตังเองไม่ทันสังเกตเห็น จึงรีบลงมาดูก่อนพบว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน และเสียชีวิต 1 คน 

ด้าน วิศวกรคุมงานก่อสร้าง เปิดเผยว่า สาเหตุที่คานเหล็กหล่นลงมา น่าจะเกิดจากเกี่ยวตัวล็อคคานผิดพลาดขณะเคลื่อนย้าย จึงทำให้น้ำหนักคานไม่พอดีกันจนทำให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าวขึ้น

ส่วนสาเหตุที่แท้จริงขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ อยู่ระหว่างรอกองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และวิศวกรรมจากสำนักงานเขต และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนผู้เสียชีวิต จะนำส่งนิติเวชโรงพยาบาลศิริราช เพื่อชันสูตรศพ และจะประสานทางญาติ เพื่อเข้ามาดำเนินการตามสิทธิของกฎหมาย และรับศพไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป

ขณะที่ นายชาตรี ตันศิริ รองผู้ว่าการฝ่ายก่อสร้างและบำรุงรักษา การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่งเข้ามาในพื้นที่หลังจากเกิดเหตุ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าที่บริเวณหูของแท่งเหล็กมีการชำรุด แต่ยังไม่ทราบว่ากี่จุด แล้วในตอนเกิดเหตุมีการยกแท่งเหล็กเพื่อที่จะขยับไปด้านข้าง โดยมีการยกสูงขึ้นมาประมาณ 1 เมตร แต่ในขณะที่กำลังขยับแท่งเหล็กดังกล่าวหูของแท่งเหล็กเกิดการชำรุด และทำให้สายสลิงหลุดออกมา กระแทกเข้าไปที่คนงานจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 

ซึ่งบริเวณจุดนี้เป็นจุดที่มีการก่อสร้างทางด่วนถนนพระราม 2 และมีการกั้นรั้วอย่างชัดเจน และเป็นเขตการก่อสร้าง โดยการก่อสร้างสามารถทำในช่วงกลางวันได้เนื่องจากไม่ได้ลงไปในพื้นผิวจราจร แต่ถ้าหากว่าจะมีการยกอุปกรณ์ในการก่อสร้างขึ้นบนที่สูง จะมีการปิดพื้นผิวจราจรและให้ประชาชนเบี่ยงไปใช้ในเส้นทางอื่นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย 

ทั้งนี้ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาก็มีการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันตรายแบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีการให้เขียนระบบความปลอดภัยที่บริเวณหน้างาน เพื่อเข้าไปตรวจสอบทุกครั้งก่อนจะมีการปฏิบัติงาน แต่หลังจากเกิดเหตุในวันนี้ก็จะมีการหยุดปฏิบัติงานไปก่อน จนกว่าจะตรวจสอบให้ปลอดภัยแล้วจึงจะกลับมาปฏิบัติงานอีกครั้ง 

“หลังจากเกิดเหตุ ตนเองก็ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต แต่ยืนยันว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่มีใครอยากให้เกิด ส่วนการเยียวยาครอบครัวของผู้เสียชีวิต ทางบริษัทมีเงินที่จะเยียวยาเตรียมไว้ให้แล้ว” นายชาตรี ระบุ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.nationtv.tv/news/crime/378937480

ท่อและอุปกรณ์ท่อHDPE , ท่อPE

มาตรฐานมอก. แบรนด์ดังครบ สามารถใช้ได้ทั้งงานอุตสาหกรรม งานราชการ งานเกษตร พร้อมจัดส่งทั่วประเทศ ราคาพร้อมส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วประเทศ 

ท่อ HDPE  ย่อมาจากคำว่า High Density Polyethylene  หรือที่เรียกกันชื่อหนึ่งว่า ท่อ PE  โดยท่อ HDPE คือท่อที่มีลักษณะงอ ดัดโค้งได้ สามารถคดเคี้ยวไปมาตามลักษณะของตัวอาคาร มีสีดำ ทนต่อแสงอาทิตย์และรังสียูวีได้ดี และมีความแข็งแรงทนต่อแรงกระแทกได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง ปัจจุบันนิยมใช้สำหรับเป็นท่อระบบน้ำดื่ม ไม่มีสารพิษหรือสารเคมีตกค้าง สารก่อมะเร็ง ทนต่อการกัดกร่อนไม่เป็นสนิม อีกทั้งสามารถทนต่อแรงดันน้ำได้ดี สามารถเชื่อต่อได้ง่ายไม่เสี่ยงต่อการรั่วซึม จึงเหมาะสำหรับการเดินระบบน้ำประปาภายในและภายนอกอาคาร สามารถเดินบนผิวดินหรือฝังดินได้อย่างสะดวกและปลอดภัย

ราคาท่อและอุปกรณ์ท่อHDPE , ท่อPE ปี2564

ราคาท่อHDPE และ ขนาดท่อHDPE ท่อHDPE SCG , ท่อHDPE UHM , SR, SK, TAP ท่อHDPEคาดฟ้า ,  ท่อHDPEคาดส้ม

PE80 ราคาต่อ (บาท/เมตร)
ขนาดPN 3.2PN 4PN 6PN 8PN 10PN 12.5PN 16PN20
มมนิ้วSDR 41SDR 33SDR 21SDR 17SDR 13.6SDR 11SDR 9SDR 7.4
201/213161823
253/41621242933
321262732454554
401 1/4 334049696982
501 1/2506175107107127
632567897118171171200
752 1/281112138168240240285
90116152188228329329388
11041702280279338488488581
PE100 ราคาต่อ (บาท/เมตร)
ขนาดPN 4PN 6PN 8PN 10PN12.5PN 16PN 20 
มมนิ้วSDR 33SDR 21SDR 17SDR 13.6SDR 11SDR 9SDR 7.4 
201/21719 
253/4222531 
32128344148 
401 1/4 3541516072 
501 1/24452647594111 
6326981101123148175 
752 1/295116143174207250 
90132161198241289347 
1104194241295357429516 

ท่อ HDPE ติดตั้งได้กี่แบบ ? อะไรบ้าง
รู้หรือไมว่า ท่อHDPEหรือ ท่อPE มีวิธีการติดตั้งกี่แบบ และมีวิธีการอย่างไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

 การต่อท่อHDPE นั้นทำได้2วิธี วิธีแรกคือ การต่อด้วยข้อต่อแบบ สวมอัด(Compression) ขนาดท่อตั้งแต่20-110มม. ที่ถูกออกแบบมาใช้ เฉพาะกับท่อHDPE โดยข้อต่อจะใช้การสวมอัดและขันเกลียวให้แน่น โดยไม่ต้องใช้กาว วิธีที่2 คือการเชื่อมท่อด้วยความร้อน ซึ่งเป็นเทคนิคการให้ความร้อนกับท่อ ที่จะทำการเชื่อมพร้อมๆกันทั้งสองด้าน ของชิ้นงานจนพลาสติกที่หลอมมาสัมผัสกัน ที่บริเวณผิวแต่ละด้าน การได้รับความร้อนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ นั้นทำให้ผิวของท่อเกิดการหลอมละลาย ทำให้ผนังหลอมเหลว และรวมเป็นเนื้อเดียวกันแบบสวมล็อค ต่อด้วยอุปกรณ์ 



ข้อต่อท่อ HDPE แบบสวมล็อค
การต่อโดยใช้ข้อต่อแบบสวมล็อค (Compression) ที่ถูกออกแบบมาสำหรับท่อขนาดตั้งแต่ 20-110 mm. ซึ่งข้อต่อแบบสวมล็อค (Compression) สาทารถทนแรงดันการใช้งาน ในการส่งน้ำสูงสุดถึง 10 บาร์ โดยมีขั้นตอนง่ายๆดังนี้ 

คอมเพลสชั่น(สวมล็อค) อุปกรณ์ข้อต่อสำหรับท่อ PE ผลิตจากวัตถุดิบ เกรดA ใช้สำหรับผลิตท่อน้ำโดยเฉพาะ โดยผ่านกระบวนการผลิตที่ทันสมัย มีระบบควบคุมคุณภาพ ตามมาตรฐาน ที่กำหนดทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การทดสอบคุณสมบัติของวัตถุดิบ และ ทดสอบตามมาตรฐาน  ข้อต่อท่อระบบสวมอัด (Compession) สามารถต่อท่อขนาดตั้งแต่ 1/2-4″ (นิ้ว) เหมาะกับงานสวน หรือท่อน้ำประปาเข้าบ้านเอง

ข้อต่อท่อ HDPE แบบเชื่อม
เป็นกระบวนการเชื่อมด้วยความร้อน ที่ปลายท่อทั้งสองด้าน ทำให้ท่อเชื่อมต่อกันแบบถาวร อีกทั้งยังเป็นวิธีการที่ประหยัด และทำให้ของเหลวไหลผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยจะนำปลายท่อทั้งสองด้านมาเชื่อมต่อกัน ภายใต้ความดัน และทิ้งไว้ให้เย็นในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งข้อต่อที่ได้จะสามารถทนต่อแรงดันที่ปลายท่อ ได้เชื่อมต่อชนด้วยความร้อน เหมาะกับงานแรงดันสูงงานโครงการ ,อุตสาหกรรมท่อขนาดใหญ่ตั้งแต่ 5” ขึ้นไป

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.pipedee.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%ADhdpe-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%ADpe

เทคนิคเทพื้นคอนกรีตอย่างไร ให้พื้นเรียบสวย

สำหรับใครหลายคนแล้ว การเทพื้นคอนกรีตอาจดูเป็นเรื่องยากและมีขั้นตอนซับซ้อน แต่เนื่องจากปัจจุบันมีเครื่องมือ อุปกรณ์ ที่มอบความสะดวกสบายมากมาย รวมถึงปูนซีเมนต์สำเร็จรูปที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเทพื้นบ้าน ส่งผลให้การเทพื้นปูนง่ายขึ้น ช่วยประหยัดเวลาและค่าแรง แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นการเทปูนพื้นในที่ที่ไม่กว้างมากจนเกินไป การผสมปูเทพื้นด้วยตัวเองก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีอยู่ไม่น้อย เพราะช่วยประหยัดงบประมาณในการจ้างช่างได้เป็นอย่างดี แต่ควรจะเตรียมตัวอย่างไร มีเทคนิคอะไร และควรระวังอะไรบ้างนั้น ตามจระเข้ไปดูกันได้เลย!

วิธีการเตรียมเทพื้นคอนกรีต

1. การปรับพื้นก่อนเทคอนกรีต

พื้นทรายและตะแกรงเหล็กเสริม

ภาพ: พื้นทรายและตะแกรงเหล็กเสริม

ก่อนเทพื้นคอนกรีต อันดับแรกที่ต้องให้ความสำคัญจะต้องปรับระดับหน้าดินให้มีความสม่ำเสมอกัน อัดบดดินให้เรียบเสมอกัน หากเป็นพื้นที่ภายในบ้าน ควรถมดินสูงกว่านอกบ้านประมาณ 50 – 80 เซนติเมตร หากสูงกว่านี้ หรือหากไม่ปรับหน้าดินให้เสมอกัน จะส่งผลให้เกิดแรงดันและเกิดความเสียหายได้ หลังจากนั้นเททรายให้มีความหนาประมาณ 5 เซนติเมตร และอัดบดให้แน่น หากไม่บดให้แน่นจะทำให้ทรายยุบตัว และต้องใช้คอนกรีตปริมาณมากกว่าเดิม

2. กำหนดความกว้างและรอยต่อของการเทพื้นคอนกรีต

รอยต่อบนพื้นคอนกรีต

ภาพ: รอยต่อบนพื้นคอนกรีต

ควรกำหนดพื้นที่ให้ที่ต้องการเทพื้นคอนกรีตให้เรียบร้อย ก่อนวางแบบหล่อ และควรกำหนดของรอยต่อ เนื่องจากคอนกรีตนั้นมักจะยืดหรือหดตัวตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง และอาจส่งผลให้เกิดการแตกร้าวได้ ดังนั้นควรกำหนดรอยต่อกว้างประมาณ 5-10 มิลลิเมตร โดยควรกำหนดผนังของรอยต่อให้รอบคอบ เพราะหากทำรอยต่อไม่เหมาะสม จะทำให้ไม่สามารถป้องกันการแตกร้าวได้อย่างที่ควรจะเป็น

3. วัดความหนาของพื้นที่

ความหนาของพื้นคอนกรีต

ภาพ: ความหนาของพื้นคอนกรีต

หลังจากปรับพื้นผิวให้เรียบเสมอกันและวัดพื้นแล้ว ควรวัดความหนาของมุมต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้กะปริมาณปูนซีเมนต์ที่ใช้ผสมปูนเทพื้น โดยควรวัดจากหน้างานโดยตรง เพราะหากใช้เพียงข้อมูลจากการจดบันทึกเพียงอย่างเดียวอาจเกิดปัญหากะปริมาณปูนซีเมนต์ผิดได้ ซึ่งทำให้งานเทพื้นคอนกรีตล่าช้าและเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นได้

4. การเตรียมแบบหล่อที่แข็งแรง

แบบหล่อไม้

ภาพ: แบบหล่อไม้

แบบหล่อปูนในการเทพื้นคอนกรีต สามารถใช้ได้ทั้งไม้ พลาสติก เหล็กสำเร็จรูป แต่จะต้องให้ความสำคัญกับความแข็งแรง และบริเวณที่อาจเกิดรอยรั่วต่าง ๆ เพื่อป้องกันน้ำปูนไหลทะลัก โดยเฉพาะบริเวณใกล้กับเหล็กเสริม แนะนำใช้เหล็กกระทุ้ง หรือเครื่องจี้ไม่ให้น้ำปูนไหลออกจากแบบหล่อ ในกรณีที่ใช้ไม้แบบพลาสติกหรือเหล็กสำเร็จรูป มักไม่ค่อยมีปัญหานัก เพราะวัสดุเหล่านี้ถูกออกแบบเพื่อการใช้งานหล่อเทพื้นปูนอยู่แล้ว

5. วางตะแกรงเหล็กเสริมในตำแหน่งที่ถูกต้อง

การวางตะแกรงเหล็กเสริม

ภาพ: การวางตะแกรงเหล็กเสริม

การวางตะแกรงเหล็กเสริม (Wire Mesh) ควรอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าผิวคอนกรีตประมาณ 3-5 เซนติเมตร หรือหากต้องการวางตะแกรงเหล็กเสริมให้สะดวกมากขึ้น สามารถหนุนเหล็กด้วยปูน เพื่อใหม่ให้เหล็กสัมผัสกับดิน อีกทั้งเหล็กยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง ลดโอกาสเกิดการแตกร้าว รวมถึงช่วยให้ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิช่วงกลางวันและกลางคืน

หลังจากเตรียมพื้นสำหรับเทพื้นคอนกรีตเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็เป็นเทคนิคการเทพื้นให้เรียบสวยและแข็งแรง จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันได้เลย!

เทคนิคการเทพื้นคอนกรีตให้เรียบสวย

1. ผสมปูนให้ได้ปริมาณที่ถูกต้อง

การผสมคอนกรีต

ภาพ: การผสมคอนกรีต

การผสมปูนเทพื้นบ้านเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะต้องใช้วิธีผสมปูนซีเมนต์เทพื้นในอัตราส่วนที่เหมาะสม สำหรับโครงการสร้างทั่วไป นิยมใช้ปูนซีเมนต์ ทราย หิน ในอัตราส่วน 1 : 2 : 4 ช่วยให้พื้นคอนกรีตที่ได้แข็งแรง และรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี หากไม่แน่ใจเรื่องสูตรผสมปูนเทพื้น ควรปรึกษาผู้เชียวชาญ หรือศึกษาการผสมปูนในอัตราส่วนที่ถูกต้องบนถุงบรรจุปูนซีเมนต์แต่ละประเภท

2. เทคอนกรีตลงในพื้นที่ที่ต้องการ

การเทพื้นคอนกรีต

ภาพ: การเทพื้นคอนกรีต

หลังจากเตรียมพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ให้เทปูนที่ผสมเสร็จแล้วลงบนพื้นที่ที่กำหนดไว้ จากนั้นเกลี่ยให้ทั่วถึง เมื่อได้ระดับที่ต้องการจึงวางตะแกรงเหล็กลงไปอีกชั้นหนึ่ง และเทคอนกรีตทับลงไปอีกครั้งหนึ่ง ตามลำดับที่กำหนดไว้ หรือจะใช้วิธีเสริมลูกปูนก่อนวางตะแกรงเหล็กเสริมทับ แล้วเทคอนกรีตให้เข้าทั่วตามระดับที่ต้องการ การใช้วิธีนี้จะช่วยลดขั้นตอนการเทพื้นคอนกรีตได้อีกทางหนึ่ง

3. แต่งหน้าพื้นผิว

แต่งพื้นผิวคอนกรีต

ภาพ: แต่งพื้นผิวคอนกรีต

หลังจากเทปูนพื้นให้ได้ตามระดับที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ก็ปรับแต่งพื้นผิวหรือเกลี่ยพื้นผิวให้เรียบเสมอกัน ด้วยการใช้พลั่วตบผิวคอนกรีต วิธีนี้จะช่วยลดฟองอากาศบนพื้นผิว จะช่วยให้ผิวหน้าเรียบมากยิ่งขึ้น หากมีน้ำเยิ้มที่ผิวหน้าพื้นปูนซีเมนต์ ให้ทิ้งไว้จนน้ำหายเยิ้มเสียก่อน แล้วปาดน้ำทั้งหมดทิ้ง เพื่อช่วยป้องกันผิวหน้าเป็นฝุ่นหลังแห้งตัว

4. ตรวจสอบความผิดปกติ

พื้นคอนกรีตที่เริ่มเซ็ตตัว

ภาพ: พื้นคอนกรีตที่เริ่มเซ็ตตัว

หลังเทพื้นคอนกรีตเรียบร้อยแล้ว ควรสังเกตดูความผิดปกติต่าง ๆ เช่น รอยรั่ว รอยร้าว รวมไปถึงตรวจสอบว่ามีคอนกรีตโก่งตัวหรือไม่ เพื่อที่จะแก้ข้อผิดพลาดได้เลยทันที ช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ที่อาจทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเป็นจำนวนมาก

5. บ่มคอนกรีต

การบ่มคอนกรีต

ภาพ: การบ่มคอนกรีต

หลังจากเทพื้นคอนกรีตและปรับพื้นผิวเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงขั้นตอนบ่มคอนกรีต โดยปล่อยคอนกรีตให้เริ่มแข็งตัว และฉีดน้ำให้ชุ่ม แล้วทิ้งไว้ไม่ต่ำกว่า 7 วัน จะช่วยให้พื้นคอนกรีตที่ได้แข็งแรง ทนทานมากยิ่งขึ้น โดยขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก หากไม่บ่มคอนกรีตในระยะเวลาที่เหมาะสม จะทำให้พื้นรับแรงได้น้อยกว่าที่ควร และทำให้เกิดการแตกร้าวได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดสนิมที่เหล็กเสริมได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.jorakay.co.th/blog/owner/floor/how-to-pour-concrete-make-the-floor-smooth-and-beautiful